• DAY 1-2
  • DAY 3
  • DAY 4
  • DAY 5
  • DAY 6
  • DAY 7
  • DAY 8-10
  • เงื่อนไขและค่าบริการ
1
ส. 18 พ.ย. 66
กรุงเทพฯ – แฟรงค์เฟิร์ต
21.00 น. พร้อมกันที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เคาน์เตอร์สายการบินไทย

อาคารผู้โดยสารขาออก ชั้นที่ 4 ประตูที่ 2 เคาน์เตอร์เช็คอินแถว C เจ้าหน้าที่ เวิลด์ เซอร์ไพร้ส รอต้อนรับพร้อมอำนวยความสะดวก

23.40 น. โดยสายการบินไทย เที่ยวบินที่ TG920 นำท่านเหินฟ้าสู่ แฟรงค์เฟิร์ต ประเทศเยอรมนี

อาหารบริการบนเครื่องบินพร้อมเครื่องดื่ม

พักค้างแรมบนเครื่องบิน

2
อา 19 พ.ย. 66
แฟรงค์เฟิร์ต – พิพิธภัณฑ์เครื่องแก้วลาลีค – Graufthal – สตราส์บูร์ก – มหาวิหารนอร์ทเทรอดามแห่งสตราส์บูร์ก – ย่าน Petite France – ล่องเรือชมเมือง

เช้า

อาหารเช้า บริการบนเครื่องบินพร้อมเครื่องดื่ม

05.55 น. ถึงท่าอากาศยาน นครแฟรงค์เฟิร์ต ประเทศเยอรมนี 

หลังจากผ่านพิธีการตรวจคนเข้าเมืองและศุลกากรแล้ว นำท่านเดินทางสู่ พิพิธภัณฑ์เครื่องแก้วลาลีค หนึ่งในพิพิธภัณฑ์ที่จัดแสดงผลงานทางศิลปะประเภทเครื่องแก้ว ของศิลปินชื่อดังระดับโลกอย่าง เรอเน ลาลีค ศิลปินผู้บุกเบิกงานศิลปะที่สร้างสรรค์จากแก้วออกเป็นผลงานทางศิลปะหลากหลายแขนง

ทั้งเครื่องประดับขวดผลิตภัณฑ์น้ำหอม หรือกระทั่งงานด้านสถาปัตยกรรม และตกแต่งภายใน ประกอบกับการออกแบบบรรยากาศภายในพิพิธภัณฑ์ในโทนสีที่มืดมิด เพื่อส่งผลต่อการเปล่งประกายจากเหล่าบรรดางานศิลปะเครื่องแก้วต่าง ๆ เหล่านั้นได้งานวิจิตรตระกานตา และทรงคุณค่าแก่ผู้ที่มาชม

กลางวัน

อาหารกลางวัน ณ ภัตตาคาร

หลังอาหาร นำท่านสู่ Graufthal อิสระให้ท่านถ่ายรูปบ้านสีฟ้าที่สร้างติดกับหน้าผา(Cliff Houses) ซึ่งถูกรีโนเวท และภายในตกแต่งโดยใช้วัสดุเก่าแก่จากยุคสมัยปี ค.ศ. 1958 ที่เป็นเอกลักษณ์ของ Graufthal

แล้วนำท่านเดินทางสู่เมือง สตราส์บูร์ก ประเทศฝรั่งเศส เมืองหลวงและศูนย์กลางการค้าของแคว้นอัลซาส ซึ่งมีประวัติความเป็นมาอันยาวนาน โดยได้ขึ้นชื่อว่าเป็นเมืองหลวงของยุโรป เนื่องจากเป็นที่ตั้งของสภายุโรป สัญลักษณ์แห่งสันติภาพของโลกหลังสงครามโลกครั้งที่สอง

เมื่อเดินทางถึงสตราส์บูร์ก พาท่านชม มหาวิหารนอร์ทเทรอดามแห่งสตราส์บูร์ก ศาสนสถานสำคัญซึ่งได้รับการสรรสร้างขึ้นโดยใช้ศิลปะแบบกอธิคอันสวยงาม มียอดแหลมสูง โดดเด่น ได้รับการก่อสร้างขึ้นตั้งแต่ปี ค.ศ. 1015 ต่อมาถูกไฟไหม้เผาทำลายเสียหายไปหลายส่วนจึงได้รับการบูรณะอีกครั้ง ในสมัยคริสต์ศตวรรษที่ 12  ภายนอกนั้นดูยิ่งใหญ่และสวยงามด้วยลวดลายอันปราณีต

ส่วนภายในนั้นกว้างขวางโดยมีจุดโดดเด่น คือ นาฬิกา The Astronomical Clock ที่ช่างฝีมือชาวสวิสประดิษฐ์ขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1840 โดยใช้การบอกรอบเวลาด้วยการเคลื่อนไหวของฟันเฟืองและเครื่องจักรกล โดยทุก 15 นาที จะมีรูปมนุษย์ในช่วงชีวิตต่างๆ ออกมาตีกระดิ่ง

จากนั้น นำท่านชม ย่าน Petite France ย่านที่ล้อมรอบไปด้วยบ้านเรือนสไตล์อัลซาสสีสันสดใส บ้างก็เป็นร้านอาหาร และคอฟฟี่ช็อปเล็ก ๆ มีมุมจำหน่ายของที่ระลึก

จากนั้น อิสระให้ท่านได้เดินเล่นช้อปปิ้งในบริเวณนี้ตามอัธยาศัย

ถึงเวลานัดหมาย นำท่านลงเรือล่องแม่น้ำ เพื่อยลสองฝั่งคลอง อันน่ารักและมีเสน่ห์ของเมืองนี้

ค่ำ

อาหารค่ำ ณ ภัตตาคาร 

พักค้างแรม ณ โรงแรม Sofitel Strasbourg Grande lle หรือระดับเดียวกัน

3
จ. 20 พ.ย. 66
สตราส์บูร์ก – โมชาม – ชิม ฟัวกราส์ – ชิมไวน์ – มงต์แซงต์โอเดียล – รีควีร์ – โกลมาร์

เช้า

อาหารเช้า  ณ ภัตตาคารภายในโรงแรม

หลังอาหาร นำท่านเดินทางสู่ โมชาม เมืองเล็ก ๆ ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากเมืองหลวงของแคว้นอัลซาส อย่างสตราส์บูร์กมากนัก แล้วนำท่านสัมผัสกับอาหารสุดแสนวิเศษ ที่แสดงถึงวิถีชีวิตของครัวชั้นสูงแบบฝรั่งเศสในอดีต คือ ฟัวกราส์ หรือตับเป็ด และห่าน

โดยในช่วงศตวรรษที่ 18 ได้มีพ่อครัวชาวฝรั่งเศสชื่อดังนามว่า ฌอง-ปิแอร์ ผู้ซึ่งนำ ฟัวกราส์ มารังสรรค์ประยุกต์จนกลายเป็นขนมปังผิวกรอบห่อข้างในด้วยตับเป็ด หรือห่าน พร้อมสอดไส้สูตรเฉพาะอันเลิศรสของฌอง-ปิแอร์ และให้มีชื่อว่า ปาท เดอ ฟัว กราส์ อะลาคอนตาเดส์ (Pâté de Foie Gras à la Contades) เพื่อนำถวายแด่ผู้ปกครองแคว้นสตารส์บูร์กในยุคนั้น

และในเวลาต่อมาได้กลายเป็นอาหารที่สร้างความอร่อยแบบมิรู้ลืมให้แก่ผู้ที่ได้ลิ้มรสสืบทอดมายังปัจจุบัน

พิเศษ !! ให้ท่านลิ้มลองรสชาติ ฟัว กราส์ ที่ถูกนำมาประยุกต์กับอาหารรูปแบบต่าง ๆ ทั้งคาว และหวาน จากร้านอาหารท้องถิ่นที่มีซื่อเสียงของแคว้นอัลซาส

จากนั้น พิเศษ !!! นำท่านทดลองลิ้มรสไวน์ที่มีชื่อเสียงของเมือง และเลือกซื้อเป็นของฝาก

อัลซาส นับได้ว่าเป็นแคว้นหนึ่งที่มีการผลิตไวน์หลากหลายประเภทมากที่สุดในโลก อันปรากฏอยู่บนฉลากของขวดไวน์ที่แตกต่างกันโดย ไวน์ที่มีความโดดเด่นที่สุดของแคว้นคือ ไวน์ขาว ซึ่งมีรสชาติอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวหาที่ใดเปรียบได้ยาก

นอกจากนี้ไวน์ที่ได้จากแคว้นอัลซาส  ต่างล้วนแล้วแต่ผ่านกรรมวิธีการผลิตจากองุ่นสายพันธุ์ดีในท้องถิ่น ภายใต้การรับรอง คุณภาพระดับ AOC ของประเทศฝรั่งเศส อันก่อให้เกิดเป็นผลผลิตที่แสนเลอค่า

กลางวัน

อาหารกลางวัน ณ ภัตตาคาร

หลังอาหาร นำท่านชม มงต์แซงต์โอเดียล สำนักชีบนยอดเขา Vosges สถานที่ซึ่งในอดีตถูกเชื่อว่า เคยเป็นป้อมปราการของชาวเซลติกในยุคสมัยที่โรมันเรืองอำนาจ แต่กลับถูกทำลายลงไปในช่วงปลายศตวรรษที่ 9

โดยในเวลาต่อมาได้ถูกค้นพบโดยท่านดยุคอดาลลิคช์แห่งอัลซาส และให้ชื่อว่ามงต์แซงต์โอเดียล ตามชื่อบุตรสาวของตน

จากนั้นสถานที่แห่งนี้ได้รับการบูรณะอีกครั้งในปี ค.ศ.1853 จากเหล่านักบุญในแคว้นอัลซาสจนกลายเป็นสำนักชี และแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญแห่งหนึ่งของแคว้นอัลซาสในปัจจุบัน

จากนั้น นำท่านเดินทางสู่ รีควีร์ อีกหนึ่งเมืองเล็กๆในแคว้นอัลซาสที่ตั้งอยู่ในหุบเขาที่โอบล้อมไปด้วยไร่องุ่นที่มีชื่อเสียงในด้านการผลิตไวน์ และด้วยบรรยากาศอันน่ารักและมีเสน่ห์ของหมู่บ้านที่จะพาให้ท่านรู้สึกราวกับว่าเข้าไปอยู่ใน เมืองแห่งเทพนิยาย

เนื่องจากบ้านเรือนส่วนใหญ่ยังคงได้รับการดูแลรักษาและคงสภาพเดิมในอดีต เพิ่มเติมด้วยการตกแต่งและประดับประดาด้วยดอกไม้ ตุ๊กตาหรือของชิ้นเล็กชิ้นน้อยที่ช่วยทำให้ รีควีร์ เป็นอีกหนึ่งปลายทางที่มีเสน่ห์และดึงดูดนักท่องเที่ยวมากมาย

ค่ำ

อาหารค่ำ ณ ภัตตาคาร

พักค้างแรม ณ โรงแรม L’Esquisse Hotel & Spa Colmar – Mgallery หรือระดับเดียวกัน

4
อ. 21 พ.ย. 66
โกลมาร์ – เบอซ็องซง – Pont Battant – เนินปราสาทเบอซ็องซง – ดิจง

เช้า

อาหารเช้า  ณ ภัตตาคารภายในโรงแรม

หลังอาหาร นำท่านเดินทางสู่ โกลมาร์ เมืองเล็ก ๆ อีกเมืองหนึ่งที่ตั้งอยู่ในแคว้นอัลซาส ของประเทศฝรั่งเศส

แล้วนำท่านชมบริเวณโดยรอบเมืองโกลมาร์ ซึ่งตั้งอยู่ใกล้กับเทือกเขา Vosges และแม่น้ำไรน์ ท่านสามารถเดินเที่ยวชมความสวยงามตามแบบฉบับของเมืองที่ผสมผสานระหว่างยุคกลางกับศิลปะแห่งศตวรรษที่ 20 ไว้ได้อย่างลงตัว

โดยจะเห็นได้จากสภาพบ้านเรือนที่มีเสน่ห์ด้วยบ้านกึ่งไม้กึ่งปูน ที่เรียกว่า Half-Timbered House โดยจะตั้งอยู่ระหว่างสองฝั่งคลองในย่านที่เรียกว่า ลิตเติ้ลเวนีซ 

กลางวัน

อาหารกลางวัน ณ ภัตตาคาร

หลังอาหาร นำท่านมุ่งหน้าสู่ เบอซ็องซง เมืองหลวงแห่งแคว้นฟรองช์-กงเต้ เมืองทางตะวันออกของประเทศฝรั่งเศส ตั้งอยู่ไม่ไกลจากพรมแดนสวิตเซอร์แลนด์ เมืองหลวงแห่งประวัติศาสตร์ของการผลิตนาฬิกาในฝรั่งเศส นำท่านเดินชมประวัติศาสตร์อันเก่าแก่ใน ย่านเมืองเก่า ของเมือง อาทิเช่น ลานน้ำพุเก่าแก่ที่จัตุรัส Jean Cornet ซึ่งน้ำพุแห่งนี้ได้ถูกสร้างในปี 1900 เป็นอีกจุดที่นักท่องเที่ยวนิยมแวะมาถ่ายภาพเก็บไว้เป็นที่ระลึกอยู่เสมอๆ 

แล้วนำท่านชมบริเวณ Pont Battant สะพานโรมันที่เชื่อมระหว่าง Battant และ Besançon แต่เดิมเป็นสะพานหินโรมันโบราณที่มีห้าโค้งและกว้างประมาณ 4 เมตร เป็นสะพานเดียวที่ใช้ข้ามแม่น้ำดูบส์ในช่วงยุคกลางและยุคฟื้นฟูศิลปวิทยา

จากนั้น นำท่านชม นินปราสาทเบอซ็องซง (Citadelle of Besançon) เนินเขาที่เป็นหนึ่งในป้อมปราการแข็งแกร่งที่ถูกรักษาไว้อย่างดี เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญ ที่มีนักท่องเที่ยวเดินทางมาเยือนหลายล้านคนต่อปี

ได้เวลา นำท่านเดินทางสู่ ดิจง เมืองหลวงแห่งแคว้นเบอร์กันดี ที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ของฝรั่งเศสอย่างมาก 

โดยเฉพาะระหว่างคริสต์ศตวรรษที่ 14 และ 15 เป็นเมืองที่มีความยิ่งใหญ่มาก เมื่อท่านดุ๊คแห่งเบอร์กันดีสามารถครอบครองพื้นที่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของฝรั่งเศส เยอรมนีตะวันตก เบลเยี่ยม และเนเธอร์แลนด์ ได้ทั้งหมด

นอกจากนี้ ยังเป็นแหล่งผลิตไวน์ และมัสตาร์ด ที่มีชื่อเสียงเป็นอย่างมาก อิสระให้ท่านได้ช้อปปิ้งตามอัธยาศัย จนถึงเวลานัดหมาย

ค่ำ

อาหารค่ำ ณ ภัตตาคาร 

พักค้างแรม ณ โรงแรม Grand Hotel La Cloche Dijon – MGallery by Sofitel หรือระดับเดียวกัน

5
พ. 22 พ.ย. 66
ดิจง – ตลาดเช้า Les Halles – โบน – โอเตล เดอ โบน – พิพิธภัณฑ์มัสตาร์ดฟาลโลต์ – ไวน์ชาโตว์ของปมมาร์ – ชิมไวน์

เช้า

อาหารเช้า ณ ภัตตาคารภายในโรงแรม

หลังอาหาร นำท่านสัมผัสบรรยากาศตลาดยามเช้าของประเทศฝรั่งเศสที่  Les Halles ซึ่งตลาดในร่มแห่งนี้ได้เป็นผลงานการออกแบบของกุสตาฟ ไอเฟล ผู้ออกแบบหอไอเฟลแห่งกรุงปารีส ให้ท่านได้ดูวิถีชีวิตชาวฝรั่งเศสซื้อของจับจ่ายยามเช้า อาทิ เนยแข็ง ชีส ผลไม้ แฮม เป็นต้น

ได้เวลานัดหมาย นำท่านเดินทางสู่ โบน เมืองที่มีเสน่ห์ในการเดินทาง สำหรับผู้ที่มีใจรักในศิลปะ และไวน์ เมืองนี้ได้รับการขนานนามว่า เป็นเมืองหลวงทางด้านไวน์แห่งแคว้นเบอร์กันดี เนื่องจาก อุตสาหกรรมหลัก คือ การผลิตไวน์ ซึ่งเต็มไปด้วยหมู่บ้านที่มีชื่อเสียงในด้านการผลิตไวน์จำนวนมาก อยู่ภายนอกเมืองโบน  

กลางวัน

อาหารกลางวัน ณ ภัตตาคาร

หลังอาหาร นำท่านชม โอเตล เดอ โบน สถานที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์อย่างมาก และเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์แห่งแคว้นเบอกานดี ก่อตั้งเมื่อ ค.ศ. 1443 เพื่อเป็นสถานพยาบาลสำหรับรักษาผู้ยากไร้ มีความโดดเด่นในด้านสถาปัตยกรรมแบบกอธิค หลังคามุงกระเบื้องที่งดงามวิจิตรตระการตา 

ที่แห่งนี้ ถูกใช้เป็นสถานพยาบาลจนถึง ค.ศ. 1971 ปัจจุบัน เปิดเป็นพิพิธภัณฑ์ให้นักท่องเที่ยวได้เข้ามาเยี่ยมชม และมีความเป็นมากกว่าพิพิธภัณฑ์ซ่อนอยู่ คือ แสดงถึงจุดกำเนิดของการประมูลไวน์เพื่อการกุศล ที่จัดขึ้นในเดือนพฤศจิกายนของทุกปี

จากนั้น นำทุกท่านชมขั้นตอนการผลิตมัสตาร์ด ผลิตภัณฑ์ขึ้นชื่อของเมืองดิจงที่ พิพิธภัณฑ์ผลิตมัสตาร์ด ฟาลโลต์ นำท่านชมกรรมวิธีเคล็ดลับตั้งแต่การผลิตมัสตาร์ดด้วยการโม่เมล็ดจากโม่หินที่ส่งต่อมาจากรุ่นสู่รุ่นตั้งแต่ ค.ศ. 1840 ซึ่งทำให้ตัวเมล็ดมัสตาร์ดได้คุณภาพ ไปจนถึงขั้นตอนบรรจุลงขวด

พิเศษ ให้ท่านได้ลิ้มรสมัสตาร์ดชื่อดังของที่นี่ พร้อมทั้งให้ท่านอิสระเลือกซื้อมัสตาร์ดหลายรสชาติกลับไปเป็นของฝาก

ได้เวลาอันสมควร นำท่านเดินทางสู่ ไวน์ชาโตว์ของปมมาร์ ไวน์แดงชื่อดังของแคว้น ที่มีพื้นที่การผลิตขนาดใหญ่กว่า 20 เฮกเตอร์ นับว่ามีขนาดใหญ่ที่สุดในเบอร์กันดี พร้อมทั้งชมกระบวนการผลิตที่พิถีพิถันในแต่ละขั้นตอน 

พิเศษ ให้ท่านได้ลิ้มลองรสชาติของ ไวน์ ปมมาร์ พร้อมทั้ง ท่านสามารถเลือกซื้อไวน์เป็นของฝาก

จากนั้น นำท่านเดินทางกลับสู่ ดิจง

ค่ำ

อาหารค่ำ ณ ภัตตาคาร 

พักค้างแรม ณ โรงแรม Grand Hotel La Cloche Dijon – MGallery by Sofitel หรือระดับเดียวกัน

6
พฤ. 23 พ.ย. 66
ดิจง – เซอร์มูร์ ออง นกซัวร์ – ทัวห์ – โบสถ์แห่งทัวห์

เช้า

อาหารเช้า ณ ภัตตาคารภายในโรงแรม

หลังอาหาร นำท่านออกเดินทางสู่เมือง เซอร์มูร์ ออง นกซัวร์ เมืองยุคกลาง ที่นี่มีความ สวยงามราวเทพนิยาย ได้รับการอนุรักษ์ให้เป็นเมืองมรดกทางประวัติศาสตร์ อาคารส่วนใหญ่สร้างจากหินแกรนิต ตัวเมืองอยู่บนตีนเขามอวอง ล้อมรอบด้วยแม่น้ำอาร์มาซอน

กลางวัน

อาหารกลางวัน ณ ภัตตาคาร

หลังอาหาร นำท่านเดินทางสู่ ทัวห์ เมืองเก่าที่มีความโดดเด่นในด้านศิลปะ สถาปัตยกรรม ในคริสต์ศตวรรษที่ 16 ที่ได้รับการอนุรักษ์ไว้เป็นอย่างดี พาท่านชม โบสถ์แห่งทัวห์ โบสถ์โรมันคาทอลิก และเป็นอนุสาวรีย์แห่งชาติของฝรั่งเศส และเขตเมืองเก่า ที่มีเสน่ห์และความหลากหลายของอาคาร บ้านเรือน ที่สร้างในลักษณะบ้านครึ่งไม้ที่โดดเด่นเป็นเอกลักษณ์

ค่ำ

อาหารค่ำ ณ ภัตตาคาร 

พักค้างแรม ณ โรงแรม Maison de Rhodes หรือระดับเดียวกัน

7
ศ. 24 พ.ย. 66
ทัวห์ – เอเพอเนย์ – ไวน์ชาโตว์ของ Moët & Chandon – แรงส์ – มหาวิหารแซ็งต์เรมี่ – พระราชวังตัวน์

เช้า

อาหารเช้า ณ ภัตตาคารภายในโรงแรม

หลังอาหาร นำท่านเดินทางสู่ เอเพอเนย์ เมืองที่มีสวนองุ่นที่ได้รับการยอมรับว่าดีที่สุดแห่งหนึ่งในโลก ซึ่งเมืองนี้มีพื้นที่การทำสวนองุ่นมากกว่า 20,000 เฮกเตอร์ อีกทั้งยังเป็นแหล่งผลิตแชมเปญที่นักดื่มส่วนใหญ่ชื่นชอบอีกด้วย จนบางคนเรียกเมืองเอเพอเนย์เป็นเมืองหลวงแห่งแชมเปญเลยทีเดียว

นำท่านชม ไวน์ชาโตว์ของ Moët & Chandon แชมเปญชื่อดังระดับโลก พร้อมทั้งชมกระบวนการผลิต ที่พิถีพิถันในทุกขั้นตอน ตลอดจนการบรรจุ เพื่อส่งออกไปยังทวีปต่าง ๆทั่วโลก เอกลักษณ์ที่น่าประทับใจของชาโตว์แห่งนี้คือ เซลลาร์หรือที่เก็บแชมเปญที่ยาวที่สุด อีกทั้งเป็นชาโตว์ที่บุคคลสำคัญของโลกอย่างจักรพรรดินโปเลียนมาเยี่ยมเยียนอย่างสม่ำเสมอ ให้ท่านได้ลองชิมแชมเปญของแชมเปญเฮาส์ Moët & Chandon

กลางวัน

อาหารกลางวัน ณ ภัตตาคาร

หลังอาหาร นำท่านเดินทางสู่ แรงส์ เมืองที่เป็นแหล่งผลิตแชมเปญที่สำคัญแห่งหนึ่งของฝรั่งเศส และเต็มไปด้วยประวัติศาสตร์ต่าง ๆ ที่มีความสำคัญมากมายในสมัยยุคกลาง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การมีบทบาทที่สำคัญสำหรับประกอบพระราชพิธีขึ้นครองราชย์ของพระมหากษัตริย์ เป็นระยะเวลายาวนานถึงเกือบ 1000 ปี

นำท่านชม มหาวิหารแซ็งต์เรมี่ สร้างขึ้นมาเมื่อปีค.ศ. 1007 และเป็นวิหารที่เก่าแก่ที่สุดในเมืองแรงส์ นำท่านเดินชมลักษณะการตกแต่งทั้งภายในและภายนอกที่แสดงให้เห็นถึงการก่อสร้างวิหารสไตล์ฝรั่งเศสแบบคลาสสิก ทั้งนี้ UNESCO ได้ยกย่องมหาวิหารแซ็งต์เรมี่ให้เป็น มรดกโลกเมื่อ ค.ศ. 1991 

แล้วนำท่านแวะถ่ายรูป พระราชวังตัวน์ สร้างขึ้นเมื่อปีค.ศ. 1690 เพื่อเป็นที่อยู่แก่บิชอปของเมืองแรงส์ และยังใช้เป็นที่พำนักของกษัตริย์แห่งประเทศฝรั่งเศสก่อนพิธีบรมราชาภิเษกในมหาวิหาร

ค่ำ

อาหารค่ำ ณ ภัตตาคาร

พักค้างแรม ณ โรงแรม Château de Sacy หรือระดับเดียวกัน

8
ส. 25 พ.ย. 66
แรงส์ – ลา วัลเล่ย์ ช้อปปิ้งวิลเลจ – ปารีส – ย่านรูแซงค์โตโนเร

เช้า

อาหารเช้า ณ ภัตตาคารภายในโรงแรม

หลังอาหาร นำท่านเดินทางสู่ ลา วัลเล่ย์ ช้อปปิ้งวิลเลจ เอาท์เล็ตมอลล์ขนาดใหญ่ ซึ่งมีร้านค้ามากมายให้ท่านได้เลือกชมกว่า 120 ร้านค้า เช่น Armani, Burberry, Christian Lacroix, Jimmy Choo, Paul Smiths, Polo Ralph Lauren, Salvatore Ferragamo, Valentino  เป็นต้น

ท่านสามารถสนุกสนานกับการจับจ่ายสินค้ามากมายไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้าบุรุษ เสื้อผ้าสตรี อุปกรณ์กีฬา ของใช้ภายในบ้าน และอื่นๆ อีกมายมาย ซึ่งเป็นแบรนด์ดังๆมีชื่อเสียง ในราคาลดพิเศษสุดตั้งแต่ 30 – 60%

อิสระให้ท่านได้เพลิดเพลินกับการเดินเล่นช้อปปิ้งตามอัธยาศัย จนถึงเวลานัดหมาย

กลางวัน

อิสระตามอัธยาศัย ภายในเอาท์เล็ต

ท่านสามารถเลือกทานอาหารจากร้านที่ท่านชื่นชอบได้ตามอัธยาศัย ซึ่งทางบริษัทฯ จัดเตรียมค่าอาหารให้ท่านละ 20 ยูโร

ได้เวลานัดหมาย นำท่านเดินทางสู่ มหานครปารีส เมืองหลวงแห่งศิลปะแฟชั่นของโลก และเป็น 1 ใน 10 ประเทศในฝันของนักท่องเที่ยวทั่วโลกที่อยากจะมาเยือนมากที่สุด

แล้วนำท่านช้อปปิ้ง ย่านรูแซงค์โตโนเร แหล่งช้อปปิ้งชื่อดังของกรุงปารีส อดีตถนนสายนี้เคยเป็นที่อยู่ของขุนนางและชนชั้นสูง แต่ปัจจุบันกลายเป็นแหล่งช้อปปิ้งสินค้าแบรนด์เนมชื่อดัง

ให้ท่านได้เลือกช้อปปิ้งตลอดทั้งสาย และที่นี่เป็นที่ตั้งสตูดิโอใหญ่ของ Hermès ที่ดังไปทั่วโลกอีกด้วย

ค่ำ

อาหารค่ำ ณ ภัตตาคาร

พักค้างแรม ณ โรงแรม Sofitel Le Scribe Paris Opéra หรือระดับเดียวกัน
9

อา. 26 พ.ย. 66

ปารีส – ท่าอากาศยานนานาชาติชาร์ลส์ เดอ โกล
เช้า อาหารเช้า ณ ภัตตาคารภายในโรงแรม

หลังอาหาร นำท่านเดินทางสู่ท่าอากาศยานนานาชาติชาร์ลส์ เดอ โกล

กลางวัน อาหารกลางวัน อิสระตามอัธยาศัยภายในท่าอากาศยาน

12.30 น. โดยสายการบินไทย เที่ยวบินที่ TG931 นำท่านเหินฟ้าสู่กรุงเทพมหานคร

อาหารบริการบนเครื่องบินพร้อมเครื่องดื่ม 

พักค้างแรมบนเครื่องบิน
10
จ. 27 พ.ย. 66
กรุงเทพฯ
เช้า อาหารเช้าบริการบนเครื่องบิน พร้อมเครื่องดื่ม

06.00 น. ถึง ท่าอากาศยานกรุงเทพฯ โดยสวัสดิภาพ พร้อมด้วยความประทับใจ
French Gourmet & Wine Lover
Surprise! 10 วัน 7 คืน
อัตราค่าบริการทัวร์ (ไม่รวมตั๋วเครื่องบิน)
ออกเดินทางวันที่
18 – 27 พ.ย. 66
จำนวนผู้เดินทางผู้ใหญ่ขั้นต่ำ ต่อรถบัส 1 คัน
10 – 14 ท่าน
15 ท่านขึ้นไป
ราคาค่าบริการทัวร์ ท่านละ
163,900 บาท
145,900 บาท
พักห้องเดี่ยว เพิ่มท่านละ
45,000 บาท
หมายเหตุ

– ทางบริษัท ฯ เป็นตัวแทนในการยื่นเอกสารกับทางสถานทูตเท่านั้น ผลการพิจารณาขึ้นอยู่กับสถานทูตแต่เพียงผู้เดียว

– ทางบริษัท ฯ ขอสงวนสิทธิ์ในการเปลี่ยนแปลงโปรแกรมการเดินทาง โดยมิต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า โดยคำนึงถึงผลประโยชน์ และความปลอดภัยของผู้เดินทางเป็นหลัก

– ทางบริษัทฯ ขอสงวนสิทธิเนื่องจากข้อผิดพลาดทางการพิมพ์

ค่าบริการรวม
– ค่ารถรับส่งตามรายการ

– ค่าธรรมเนียมการเข้าชมสถานที่ และกิจกรรมตามรายการ

– ค่าห้องพัก สองท่านต่อหนึ่งห้อง ในโรงแรมที่ระบุ หรือในระดับเดียวกัน

– ค่าอาหาร ตามรายการ

– ค่าธรรมเนียมวีซ่า ยกเว้นคนต่างด้าว

ค่าประกันภัยการเดินทางวงเงินท่านละ 2,000,000 บาท

ค่ารักษาพยาบาลเนื่องจากอุบัติเหตุ วงเงินท่านละ 2,000,000 บาท

– หัวหน้าทัวร์จากกรุงเทพฯ คอยอำนวยความสะดวกตลอดการเดินทาง

– Internet Sim Card สำหรับใช้ในประเทศยุโรป 1 ซิมต่อท่าน

– ขนม และของว่างบริการระหว่างเดินทาง

ของพรีเมี่ยม (Universal Travel Adapter, WST Shopping Bag)
ค่าบริการไม่รวม
– ค่าตั๋วเครื่องบินไปกลับ

– ค่าภาษีสนามบินทุกแห่ง

– ค่าภาษีน้ำมันซึ่งอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ตามภาวะตลาดน้ำมันโลกซึ่งประกาศโดยสายการบิน ทางบริษัท ฯ อาจมีการเรียกเก็บเพิ่มหากมีการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว

– ค่าภาษีมูลค่าเพิ่ม7% (คิดคำนวณจากค่าบริการ)

– ค่าใช้จ่ายส่วนตัวอื่นๆ เช่น ค่าซักรีด ค่าโทรศัพท์ทางไกล ค่าเครื่องดื่ม

1
ส. 18 พ.ย. 66
กรุงเทพฯ – แฟรงค์เฟิร์ต
21.00 น. พร้อมกันที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เคาน์เตอร์สายการบินไทย

อาคารผู้โดยสารขาออก ชั้นที่ 4 ประตูที่ 2 เคาน์เตอร์เช็คอินแถว C เจ้าหน้าที่ เวิลด์ เซอร์ไพร้ส รอต้อนรับพร้อมอำนวยความสะดวก

23.40 น. โดยสายการบินไทย เที่ยวบินที่ TG920 นำท่านเหินฟ้าสู่ แฟรงค์เฟิร์ต ประเทศเยอรมนี

อาหารบริการบนเครื่องบินพร้อมเครื่องดื่ม

พักค้างแรมบนเครื่องบิน

2
อา 19 พ.ย. 66
แฟรงค์เฟิร์ต – พิพิธภัณฑ์เครื่องแก้วลาลีค – Graufthal – สตราส์บูร์ก – มหาวิหารนอร์ทเทรอดามแห่งสตราส์บูร์ก – ย่าน Petite France – ล่องเรือชมเมือง

เช้า

อาหารเช้า บริการบนเครื่องบินพร้อมเครื่องดื่ม

05.55 น. ถึงท่าอากาศยาน นครแฟรงค์เฟิร์ต ประเทศเยอรมนี 

หลังจากผ่านพิธีการตรวจคนเข้าเมืองและศุลกากรแล้ว นำท่านเดินทางสู่ พิพิธภัณฑ์เครื่องแก้วลาลีค หนึ่งในพิพิธภัณฑ์ที่จัดแสดงผลงานทางศิลปะประเภทเครื่องแก้ว ของศิลปินชื่อดังระดับโลกอย่าง เรอเน ลาลีค ศิลปินผู้บุกเบิกงานศิลปะที่สร้างสรรค์จากแก้วออกเป็นผลงานทางศิลปะหลากหลายแขนง

ทั้งเครื่องประดับขวดผลิตภัณฑ์น้ำหอม หรือกระทั่งงานด้านสถาปัตยกรรม และตกแต่งภายใน ประกอบกับการออกแบบบรรยากาศภายในพิพิธภัณฑ์ในโทนสีที่มืดมิด เพื่อส่งผลต่อการเปล่งประกายจากเหล่าบรรดางานศิลปะเครื่องแก้วต่าง ๆ เหล่านั้นได้งานวิจิตรตระกานตา และทรงคุณค่าแก่ผู้ที่มาชม

กลางวัน

อาหารกลางวัน ณ ภัตตาคาร

หลังอาหาร นำท่านสู่ Graufthal อิสระให้ท่านถ่ายรูปบ้านสีฟ้าที่สร้างติดกับหน้าผา(Cliff Houses) ซึ่งถูกรีโนเวท และภายในตกแต่งโดยใช้วัสดุเก่าแก่จากยุคสมัยปี ค.ศ. 1958 ที่เป็นเอกลักษณ์ของ Graufthal

แล้วนำท่านเดินทางสู่เมือง สตราส์บูร์ก ประเทศฝรั่งเศส เมืองหลวงและศูนย์กลางการค้าของแคว้นอัลซาส ซึ่งมีประวัติความเป็นมาอันยาวนาน โดยได้ขึ้นชื่อว่าเป็นเมืองหลวงของยุโรป เนื่องจากเป็นที่ตั้งของสภายุโรป สัญลักษณ์แห่งสันติภาพของโลกหลังสงครามโลกครั้งที่สอง

เมื่อเดินทางถึงสตราส์บูร์ก พาท่านชม มหาวิหารนอร์ทเทรอดามแห่งสตราส์บูร์ก ศาสนสถานสำคัญซึ่งได้รับการสรรสร้างขึ้นโดยใช้ศิลปะแบบกอธิคอันสวยงาม มียอดแหลมสูง โดดเด่น ได้รับการก่อสร้างขึ้นตั้งแต่ปี ค.ศ. 1015 ต่อมาถูกไฟไหม้เผาทำลายเสียหายไปหลายส่วนจึงได้รับการบูรณะอีกครั้ง ในสมัยคริสต์ศตวรรษที่ 12  ภายนอกนั้นดูยิ่งใหญ่และสวยงามด้วยลวดลายอันปราณีต

ส่วนภายในนั้นกว้างขวางโดยมีจุดโดดเด่น คือ นาฬิกา The Astronomical Clock ที่ช่างฝีมือชาวสวิสประดิษฐ์ขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1840 โดยใช้การบอกรอบเวลาด้วยการเคลื่อนไหวของฟันเฟืองและเครื่องจักรกล โดยทุก 15 นาที จะมีรูปมนุษย์ในช่วงชีวิตต่างๆ ออกมาตีกระดิ่ง

จากนั้น นำท่านชม ย่าน Petite France ย่านที่ล้อมรอบไปด้วยบ้านเรือนสไตล์อัลซาสสีสันสดใส บ้างก็เป็นร้านอาหาร และคอฟฟี่ช็อปเล็ก ๆ มีมุมจำหน่ายของที่ระลึก

จากนั้น อิสระให้ท่านได้เดินเล่นช้อปปิ้งในบริเวณนี้ตามอัธยาศัย

ถึงเวลานัดหมาย นำท่านลงเรือล่องแม่น้ำ เพื่อยลสองฝั่งคลอง อันน่ารักและมีเสน่ห์ของเมืองนี้

ค่ำ

อาหารค่ำ ณ ภัตตาคาร 

พักค้างแรม ณ โรงแรม Sofitel Strasbourg Grande lle หรือระดับเดียวกัน

3
จ. 20 พ.ย. 66
สตราส์บูร์ก – โมชาม – ชิม ฟัวกราส์ – ชิมไวน์ – มงต์แซงต์โอเดียล – รีควีร์ – โกลมาร์

เช้า

อาหารเช้า  ณ ภัตตาคารภายในโรงแรม

หลังอาหาร นำท่านเดินทางสู่ โมชาม เมืองเล็ก ๆ ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากเมืองหลวงของแคว้นอัลซาส อย่างสตราส์บูร์กมากนัก แล้วนำท่านสัมผัสกับอาหารสุดแสนวิเศษ ที่แสดงถึงวิถีชีวิตของครัวชั้นสูงแบบฝรั่งเศสในอดีต คือ ฟัวกราส์ หรือตับเป็ด และห่าน

โดยในช่วงศตวรรษที่ 18 ได้มีพ่อครัวชาวฝรั่งเศสชื่อดังนามว่า ฌอง-ปิแอร์ ผู้ซึ่งนำ ฟัวกราส์ มารังสรรค์ประยุกต์จนกลายเป็นขนมปังผิวกรอบห่อข้างในด้วยตับเป็ด หรือห่าน พร้อมสอดไส้สูตรเฉพาะอันเลิศรสของฌอง-ปิแอร์ และให้มีชื่อว่า ปาท เดอ ฟัว กราส์ อะลาคอนตาเดส์ (Pâté de Foie Gras à la Contades) เพื่อนำถวายแด่ผู้ปกครองแคว้นสตารส์บูร์กในยุคนั้น

และในเวลาต่อมาได้กลายเป็นอาหารที่สร้างความอร่อยแบบมิรู้ลืมให้แก่ผู้ที่ได้ลิ้มรสสืบทอดมายังปัจจุบัน

พิเศษ !! ให้ท่านลิ้มลองรสชาติ ฟัว กราส์ ที่ถูกนำมาประยุกต์กับอาหารรูปแบบต่าง ๆ ทั้งคาว และหวาน จากร้านอาหารท้องถิ่นที่มีซื่อเสียงของแคว้นอัลซาส

จากนั้น พิเศษ !!! นำท่านทดลองลิ้มรสไวน์ที่มีชื่อเสียงของเมือง และเลือกซื้อเป็นของฝาก

อัลซาส นับได้ว่าเป็นแคว้นหนึ่งที่มีการผลิตไวน์หลากหลายประเภทมากที่สุดในโลก อันปรากฏอยู่บนฉลากของขวดไวน์ที่แตกต่างกันโดย ไวน์ที่มีความโดดเด่นที่สุดของแคว้นคือ ไวน์ขาว ซึ่งมีรสชาติอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวหาที่ใดเปรียบได้ยาก

นอกจากนี้ไวน์ที่ได้จากแคว้นอัลซาส  ต่างล้วนแล้วแต่ผ่านกรรมวิธีการผลิตจากองุ่นสายพันธุ์ดีในท้องถิ่น ภายใต้การรับรอง คุณภาพระดับ AOC ของประเทศฝรั่งเศส อันก่อให้เกิดเป็นผลผลิตที่แสนเลอค่า

กลางวัน

อาหารกลางวัน ณ ภัตตาคาร

หลังอาหาร นำท่านชม มงต์แซงต์โอเดียล สำนักชีบนยอดเขา Vosges สถานที่ซึ่งในอดีตถูกเชื่อว่า เคยเป็นป้อมปราการของชาวเซลติกในยุคสมัยที่โรมันเรืองอำนาจ แต่กลับถูกทำลายลงไปในช่วงปลายศตวรรษที่ 9

โดยในเวลาต่อมาได้ถูกค้นพบโดยท่านดยุคอดาลลิคช์แห่งอัลซาส และให้ชื่อว่ามงต์แซงต์โอเดียล ตามชื่อบุตรสาวของตน

จากนั้นสถานที่แห่งนี้ได้รับการบูรณะอีกครั้งในปี ค.ศ.1853 จากเหล่านักบุญในแคว้นอัลซาสจนกลายเป็นสำนักชี และแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญแห่งหนึ่งของแคว้นอัลซาสในปัจจุบัน

จากนั้น นำท่านเดินทางสู่ รีควีร์ อีกหนึ่งเมืองเล็กๆในแคว้นอัลซาสที่ตั้งอยู่ในหุบเขาที่โอบล้อมไปด้วยไร่องุ่นที่มีชื่อเสียงในด้านการผลิตไวน์ และด้วยบรรยากาศอันน่ารักและมีเสน่ห์ของหมู่บ้านที่จะพาให้ท่านรู้สึกราวกับว่าเข้าไปอยู่ใน เมืองแห่งเทพนิยาย

เนื่องจากบ้านเรือนส่วนใหญ่ยังคงได้รับการดูแลรักษาและคงสภาพเดิมในอดีต เพิ่มเติมด้วยการตกแต่งและประดับประดาด้วยดอกไม้ ตุ๊กตาหรือของชิ้นเล็กชิ้นน้อยที่ช่วยทำให้ รีควีร์ เป็นอีกหนึ่งปลายทางที่มีเสน่ห์และดึงดูดนักท่องเที่ยวมากมาย

ค่ำ

อาหารค่ำ ณ ภัตตาคาร

พักค้างแรม ณ โรงแรม L’Esquisse Hotel & Spa Colmar – Mgallery หรือระดับเดียวกัน

4
อ. 21 พ.ย. 66
โกลมาร์ – เบอซ็องซง – Pont Battant – เนินปราสาทเบอซ็องซง – ดิจง

เช้า

อาหารเช้า  ณ ภัตตาคารภายในโรงแรม

หลังอาหาร นำท่านเดินทางสู่ โกลมาร์ เมืองเล็ก ๆ อีกเมืองหนึ่งที่ตั้งอยู่ในแคว้นอัลซาส ของประเทศฝรั่งเศส

แล้วนำท่านชมบริเวณโดยรอบเมืองโกลมาร์ ซึ่งตั้งอยู่ใกล้กับเทือกเขา Vosges และแม่น้ำไรน์ ท่านสามารถเดินเที่ยวชมความสวยงามตามแบบฉบับของเมืองที่ผสมผสานระหว่างยุคกลางกับศิลปะแห่งศตวรรษที่ 20 ไว้ได้อย่างลงตัว

โดยจะเห็นได้จากสภาพบ้านเรือนที่มีเสน่ห์ด้วยบ้านกึ่งไม้กึ่งปูน ที่เรียกว่า Half-Timbered House โดยจะตั้งอยู่ระหว่างสองฝั่งคลองในย่านที่เรียกว่า ลิตเติ้ลเวนีซ 

กลางวัน

อาหารกลางวัน ณ ภัตตาคาร

หลังอาหาร นำท่านมุ่งหน้าสู่ เบอซ็องซง เมืองหลวงแห่งแคว้นฟรองช์-กงเต้ เมืองทางตะวันออกของประเทศฝรั่งเศส ตั้งอยู่ไม่ไกลจากพรมแดนสวิตเซอร์แลนด์ เมืองหลวงแห่งประวัติศาสตร์ของการผลิตนาฬิกาในฝรั่งเศส นำท่านเดินชมประวัติศาสตร์อันเก่าแก่ใน ย่านเมืองเก่า ของเมือง อาทิเช่น ลานน้ำพุเก่าแก่ที่จัตุรัส Jean Cornet ซึ่งน้ำพุแห่งนี้ได้ถูกสร้างในปี 1900 เป็นอีกจุดที่นักท่องเที่ยวนิยมแวะมาถ่ายภาพเก็บไว้เป็นที่ระลึกอยู่เสมอๆ 

แล้วนำท่านชมบริเวณ Pont Battant สะพานโรมันที่เชื่อมระหว่าง Battant และ Besançon แต่เดิมเป็นสะพานหินโรมันโบราณที่มีห้าโค้งและกว้างประมาณ 4 เมตร เป็นสะพานเดียวที่ใช้ข้ามแม่น้ำดูบส์ในช่วงยุคกลางและยุคฟื้นฟูศิลปวิทยา

จากนั้น นำท่านชม นินปราสาทเบอซ็องซง (Citadelle of Besançon) เนินเขาที่เป็นหนึ่งในป้อมปราการแข็งแกร่งที่ถูกรักษาไว้อย่างดี เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญ ที่มีนักท่องเที่ยวเดินทางมาเยือนหลายล้านคนต่อปี

ได้เวลา นำท่านเดินทางสู่ ดิจง เมืองหลวงแห่งแคว้นเบอร์กันดี ที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ของฝรั่งเศสอย่างมาก 

โดยเฉพาะระหว่างคริสต์ศตวรรษที่ 14 และ 15 เป็นเมืองที่มีความยิ่งใหญ่มาก เมื่อท่านดุ๊คแห่งเบอร์กันดีสามารถครอบครองพื้นที่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของฝรั่งเศส เยอรมนีตะวันตก เบลเยี่ยม และเนเธอร์แลนด์ ได้ทั้งหมด

นอกจากนี้ ยังเป็นแหล่งผลิตไวน์ และมัสตาร์ด ที่มีชื่อเสียงเป็นอย่างมาก อิสระให้ท่านได้ช้อปปิ้งตามอัธยาศัย จนถึงเวลานัดหมาย

ค่ำ

อาหารค่ำ ณ ภัตตาคาร 

พักค้างแรม ณ โรงแรม Grand Hotel La Cloche Dijon – MGallery by Sofitel หรือระดับเดียวกัน

5
พ. 22 พ.ย. 66
ดิจง – ตลาดเช้า Les Halles – โบน – โอเตล เดอ โบน – พิพิธภัณฑ์มัสตาร์ดฟาลโลต์ – ไวน์ชาโตว์ของปมมาร์ – ชิมไวน์

เช้า

อาหารเช้า ณ ภัตตาคารภายในโรงแรม

หลังอาหาร นำท่านสัมผัสบรรยากาศตลาดยามเช้าของประเทศฝรั่งเศสที่  Les Halles ซึ่งตลาดในร่มแห่งนี้ได้เป็นผลงานการออกแบบของกุสตาฟ ไอเฟล ผู้ออกแบบหอไอเฟลแห่งกรุงปารีส ให้ท่านได้ดูวิถีชีวิตชาวฝรั่งเศสซื้อของจับจ่ายยามเช้า อาทิ เนยแข็ง ชีส ผลไม้ แฮม เป็นต้น

ได้เวลานัดหมาย นำท่านเดินทางสู่ โบน เมืองที่มีเสน่ห์ในการเดินทาง สำหรับผู้ที่มีใจรักในศิลปะ และไวน์ เมืองนี้ได้รับการขนานนามว่า เป็นเมืองหลวงทางด้านไวน์แห่งแคว้นเบอร์กันดี เนื่องจาก อุตสาหกรรมหลัก คือ การผลิตไวน์ ซึ่งเต็มไปด้วยหมู่บ้านที่มีชื่อเสียงในด้านการผลิตไวน์จำนวนมาก อยู่ภายนอกเมืองโบน  

กลางวัน

อาหารกลางวัน ณ ภัตตาคาร

หลังอาหาร นำท่านชม โอเตล เดอ โบน สถานที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์อย่างมาก และเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์แห่งแคว้นเบอกานดี ก่อตั้งเมื่อ ค.ศ. 1443 เพื่อเป็นสถานพยาบาลสำหรับรักษาผู้ยากไร้ มีความโดดเด่นในด้านสถาปัตยกรรมแบบกอธิค หลังคามุงกระเบื้องที่งดงามวิจิตรตระการตา 

ที่แห่งนี้ ถูกใช้เป็นสถานพยาบาลจนถึง ค.ศ. 1971 ปัจจุบัน เปิดเป็นพิพิธภัณฑ์ให้นักท่องเที่ยวได้เข้ามาเยี่ยมชม และมีความเป็นมากกว่าพิพิธภัณฑ์ซ่อนอยู่ คือ แสดงถึงจุดกำเนิดของการประมูลไวน์เพื่อการกุศล ที่จัดขึ้นในเดือนพฤศจิกายนของทุกปี

จากนั้น นำทุกท่านชมขั้นตอนการผลิตมัสตาร์ด ผลิตภัณฑ์ขึ้นชื่อของเมืองดิจงที่ พิพิธภัณฑ์ผลิตมัสตาร์ด ฟาลโลต์ นำท่านชมกรรมวิธีเคล็ดลับตั้งแต่การผลิตมัสตาร์ดด้วยการโม่เมล็ดจากโม่หินที่ส่งต่อมาจากรุ่นสู่รุ่นตั้งแต่ ค.ศ. 1840 ซึ่งทำให้ตัวเมล็ดมัสตาร์ดได้คุณภาพ ไปจนถึงขั้นตอนบรรจุลงขวด

พิเศษ ให้ท่านได้ลิ้มรสมัสตาร์ดชื่อดังของที่นี่ พร้อมทั้งให้ท่านอิสระเลือกซื้อมัสตาร์ดหลายรสชาติกลับไปเป็นของฝาก

ได้เวลาอันสมควร นำท่านเดินทางสู่ ไวน์ชาโตว์ของปมมาร์ ไวน์แดงชื่อดังของแคว้น ที่มีพื้นที่การผลิตขนาดใหญ่กว่า 20 เฮกเตอร์ นับว่ามีขนาดใหญ่ที่สุดในเบอร์กันดี พร้อมทั้งชมกระบวนการผลิตที่พิถีพิถันในแต่ละขั้นตอน 

พิเศษ ให้ท่านได้ลิ้มลองรสชาติของ ไวน์ ปมมาร์ พร้อมทั้ง ท่านสามารถเลือกซื้อไวน์เป็นของฝาก

จากนั้น นำท่านเดินทางกลับสู่ ดิจง

ค่ำ

อาหารค่ำ ณ ภัตตาคาร 

พักค้างแรม ณ โรงแรม Grand Hotel La Cloche Dijon – MGallery by Sofitel หรือระดับเดียวกัน

6
พฤ. 23 พ.ย. 66
ดิจง – เซอร์มูร์ ออง นกซัวร์ – ทัวห์ – โบสถ์แห่งทัวห์

เช้า

อาหารเช้า ณ ภัตตาคารภายในโรงแรม

หลังอาหาร นำท่านออกเดินทางสู่เมือง เซอร์มูร์ ออง นกซัวร์ เมืองยุคกลาง ที่นี่มีความ สวยงามราวเทพนิยาย ได้รับการอนุรักษ์ให้เป็นเมืองมรดกทางประวัติศาสตร์ อาคารส่วนใหญ่สร้างจากหินแกรนิต ตัวเมืองอยู่บนตีนเขามอวอง ล้อมรอบด้วยแม่น้ำอาร์มาซอน

กลางวัน

อาหารกลางวัน ณ ภัตตาคาร

หลังอาหาร นำท่านเดินทางสู่ ทัวห์ เมืองเก่าที่มีความโดดเด่นในด้านศิลปะ สถาปัตยกรรม ในคริสต์ศตวรรษที่ 16 ที่ได้รับการอนุรักษ์ไว้เป็นอย่างดี พาท่านชม โบสถ์แห่งทัวห์ โบสถ์โรมันคาทอลิก และเป็นอนุสาวรีย์แห่งชาติของฝรั่งเศส และเขตเมืองเก่า ที่มีเสน่ห์และความหลากหลายของอาคาร บ้านเรือน ที่สร้างในลักษณะบ้านครึ่งไม้ที่โดดเด่นเป็นเอกลักษณ์

ค่ำ

อาหารค่ำ ณ ภัตตาคาร 

พักค้างแรม ณ โรงแรม Maison de Rhodes หรือระดับเดียวกัน

7
ศ. 24 พ.ย. 66
ทัวห์ – เอเพอเนย์ – ไวน์ชาโตว์ของ Moët & Chandon – แรงส์ – มหาวิหารแซ็งต์เรมี่ – พระราชวังตัวน์

เช้า

อาหารเช้า ณ ภัตตาคารภายในโรงแรม

หลังอาหาร นำท่านเดินทางสู่ เอเพอเนย์ เมืองที่มีสวนองุ่นที่ได้รับการยอมรับว่าดีที่สุดแห่งหนึ่งในโลก ซึ่งเมืองนี้มีพื้นที่การทำสวนองุ่นมากกว่า 20,000 เฮกเตอร์ อีกทั้งยังเป็นแหล่งผลิตแชมเปญที่นักดื่มส่วนใหญ่ชื่นชอบอีกด้วย จนบางคนเรียกเมืองเอเพอเนย์เป็นเมืองหลวงแห่งแชมเปญเลยทีเดียว

นำท่านชม ไวน์ชาโตว์ของ Moët & Chandon แชมเปญชื่อดังระดับโลก พร้อมทั้งชมกระบวนการผลิต ที่พิถีพิถันในทุกขั้นตอน ตลอดจนการบรรจุ เพื่อส่งออกไปยังทวีปต่าง ๆทั่วโลก เอกลักษณ์ที่น่าประทับใจของชาโตว์แห่งนี้คือ เซลลาร์หรือที่เก็บแชมเปญที่ยาวที่สุด อีกทั้งเป็นชาโตว์ที่บุคคลสำคัญของโลกอย่างจักรพรรดินโปเลียนมาเยี่ยมเยียนอย่างสม่ำเสมอ ให้ท่านได้ลองชิมแชมเปญของแชมเปญเฮาส์ Moët & Chandon

กลางวัน

อาหารกลางวัน ณ ภัตตาคาร

หลังอาหาร นำท่านเดินทางสู่ แรงส์ เมืองที่เป็นแหล่งผลิตแชมเปญที่สำคัญแห่งหนึ่งของฝรั่งเศส และเต็มไปด้วยประวัติศาสตร์ต่าง ๆ ที่มีความสำคัญมากมายในสมัยยุคกลาง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การมีบทบาทที่สำคัญสำหรับประกอบพระราชพิธีขึ้นครองราชย์ของพระมหากษัตริย์ เป็นระยะเวลายาวนานถึงเกือบ 1000 ปี

นำท่านชม มหาวิหารแซ็งต์เรมี่ สร้างขึ้นมาเมื่อปีค.ศ. 1007 และเป็นวิหารที่เก่าแก่ที่สุดในเมืองแรงส์ นำท่านเดินชมลักษณะการตกแต่งทั้งภายในและภายนอกที่แสดงให้เห็นถึงการก่อสร้างวิหารสไตล์ฝรั่งเศสแบบคลาสสิก ทั้งนี้ UNESCO ได้ยกย่องมหาวิหารแซ็งต์เรมี่ให้เป็น มรดกโลกเมื่อ ค.ศ. 1991 

แล้วนำท่านแวะถ่ายรูป พระราชวังตัวน์ สร้างขึ้นเมื่อปีค.ศ. 1690 เพื่อเป็นที่อยู่แก่บิชอปของเมืองแรงส์ และยังใช้เป็นที่พำนักของกษัตริย์แห่งประเทศฝรั่งเศสก่อนพิธีบรมราชาภิเษกในมหาวิหาร

ค่ำ

อาหารค่ำ ณ ภัตตาคาร

พักค้างแรม ณ โรงแรม Château de Sacy หรือระดับเดียวกัน

8
ส. 25 พ.ย. 66
แรงส์ – ลา วัลเล่ย์ ช้อปปิ้งวิลเลจ – ปารีส – ย่านรูแซงค์โตโนเร

เช้า

อาหารเช้า ณ ภัตตาคารภายในโรงแรม

หลังอาหาร นำท่านเดินทางสู่ ลา วัลเล่ย์ ช้อปปิ้งวิลเลจ เอาท์เล็ตมอลล์ขนาดใหญ่ ซึ่งมีร้านค้ามากมายให้ท่านได้เลือกชมกว่า 120 ร้านค้า เช่น Armani, Burberry, Christian Lacroix, Jimmy Choo, Paul Smiths, Polo Ralph Lauren, Salvatore Ferragamo, Valentino  เป็นต้น

ท่านสามารถสนุกสนานกับการจับจ่ายสินค้ามากมายไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้าบุรุษ เสื้อผ้าสตรี อุปกรณ์กีฬา ของใช้ภายในบ้าน และอื่นๆ อีกมายมาย ซึ่งเป็นแบรนด์ดังๆมีชื่อเสียง ในราคาลดพิเศษสุดตั้งแต่ 30 – 60%

อิสระให้ท่านได้เพลิดเพลินกับการเดินเล่นช้อปปิ้งตามอัธยาศัย จนถึงเวลานัดหมาย

กลางวัน

อิสระตามอัธยาศัย ภายในเอาท์เล็ต

ท่านสามารถเลือกทานอาหารจากร้านที่ท่านชื่นชอบได้ตามอัธยาศัย ซึ่งทางบริษัทฯ จัดเตรียมค่าอาหารให้ท่านละ 20 ยูโร

ได้เวลานัดหมาย นำท่านเดินทางสู่ มหานครปารีส เมืองหลวงแห่งศิลปะแฟชั่นของโลก และเป็น 1 ใน 10 ประเทศในฝันของนักท่องเที่ยวทั่วโลกที่อยากจะมาเยือนมากที่สุด

แล้วนำท่านช้อปปิ้ง ย่านรูแซงค์โตโนเร แหล่งช้อปปิ้งชื่อดังของกรุงปารีส อดีตถนนสายนี้เคยเป็นที่อยู่ของขุนนางและชนชั้นสูง แต่ปัจจุบันกลายเป็นแหล่งช้อปปิ้งสินค้าแบรนด์เนมชื่อดัง

ให้ท่านได้เลือกช้อปปิ้งตลอดทั้งสาย และที่นี่เป็นที่ตั้งสตูดิโอใหญ่ของ Hermès ที่ดังไปทั่วโลกอีกด้วย

ค่ำ

อาหารค่ำ ณ ภัตตาคาร

พักค้างแรม ณ โรงแรม Sofitel Le Scribe Paris Opéra หรือระดับเดียวกัน
9

อา. 26 พ.ย. 66

ปารีส – ท่าอากาศยานนานาชาติชาร์ลส์ เดอ โกล
เช้า อาหารเช้า ณ ภัตตาคารภายในโรงแรม

หลังอาหาร นำท่านเดินทางสู่ท่าอากาศยานนานาชาติชาร์ลส์ เดอ โกล

กลางวัน อาหารกลางวัน อิสระตามอัธยาศัยภายในท่าอากาศยาน

12.30 น. โดยสายการบินไทย เที่ยวบินที่ TG931 นำท่านเหินฟ้าสู่กรุงเทพมหานคร

อาหารบริการบนเครื่องบินพร้อมเครื่องดื่ม 

พักค้างแรมบนเครื่องบิน
10
จ. 27 พ.ย. 66
กรุงเทพฯ
เช้า อาหารเช้าบริการบนเครื่องบิน พร้อมเครื่องดื่ม

06.00 น. ถึง ท่าอากาศยานกรุงเทพฯ โดยสวัสดิภาพ พร้อมด้วยความประทับใจ
French Gourmet & Wine Lover
Surprise! 10 วัน 7 คืน
อัตราค่าบริการทัวร์ (ไม่รวมตั๋วเครื่องบิน)
ออกเดินทางวันที่
18 – 27 พ.ย. 66
จำนวนผู้เดินทางผู้ใหญ่ขั้นต่ำ ต่อรถบัส 1 คัน
10 – 14 ท่าน
15 ท่านขึ้นไป
ราคาค่าบริการทัวร์ ท่านละ
163,900 บาท
145,900 บาท
พักห้องเดี่ยว เพิ่มท่านละ
45,000 บาท
หมายเหตุ

– ทางบริษัท ฯ เป็นตัวแทนในการยื่นเอกสารกับทางสถานทูตเท่านั้น ผลการพิจารณาขึ้นอยู่กับสถานทูตแต่เพียงผู้เดียว

– ทางบริษัท ฯ ขอสงวนสิทธิ์ในการเปลี่ยนแปลงโปรแกรมการเดินทาง โดยมิต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า โดยคำนึงถึงผลประโยชน์ และความปลอดภัยของผู้เดินทางเป็นหลัก

– ทางบริษัทฯ ขอสงวนสิทธิเนื่องจากข้อผิดพลาดทางการพิมพ์

ค่าบริการรวม
– ค่ารถรับส่งตามรายการ

– ค่าธรรมเนียมการเข้าชมสถานที่ และกิจกรรมตามรายการ

– ค่าห้องพัก สองท่านต่อหนึ่งห้อง ในโรงแรมที่ระบุ หรือในระดับเดียวกัน

– ค่าอาหาร ตามรายการ

– ค่าธรรมเนียมวีซ่า ยกเว้นคนต่างด้าว

ค่าประกันภัยการเดินทางวงเงินท่านละ 2,000,000 บาท

ค่ารักษาพยาบาลเนื่องจากอุบัติเหตุ วงเงินท่านละ 2,000,000 บาท

– หัวหน้าทัวร์จากกรุงเทพฯ คอยอำนวยความสะดวกตลอดการเดินทาง

– Internet Sim Card สำหรับใช้ในประเทศยุโรป 1 ซิมต่อท่าน

– ขนม และของว่างบริการระหว่างเดินทาง

ของพรีเมี่ยม (Universal Travel Adapter, WST Shopping Bag)
ค่าบริการไม่รวม
– ค่าตั๋วเครื่องบินไปกลับ

– ค่าภาษีสนามบินทุกแห่ง

– ค่าภาษีน้ำมันซึ่งอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ตามภาวะตลาดน้ำมันโลกซึ่งประกาศโดยสายการบิน ทางบริษัท ฯ อาจมีการเรียกเก็บเพิ่มหากมีการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว

– ค่าภาษีมูลค่าเพิ่ม7% (คิดคำนวณจากค่าบริการ)

– ค่าใช้จ่ายส่วนตัวอื่นๆ เช่น ค่าซักรีด ค่าโทรศัพท์ทางไกล ค่าเครื่องดื่ม

ดาวน์โหลดโปรแกรมการเดินทาง (PDF)